Depression Medication #10

หลังจากที่เลิกกิน Lexapro แล้วชีวิตก็ดิ่งลงไปแบบแทบตั้งตัวไม่ทัน มาถึงวันนี้ (9 พฤศจิกายน 55) ก็กลับมากิน Lexapro ได้ประมาณ 2 เดือนกว่าๆแล้ว โดยเริ่มกลับมากินตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 55

แน่นอนว่าชีวิตเริ่มต้นตอนกินยามันไม่ได้สวยหรูอะไรแน่นอน เราก็ยังคงต้องสู้กับ Side Effect จนกว่าร่างกายเราจะปรับสมดุลกับยาได้ แรกๆเริ่มกินจาก 5 mg แล้วก็เพิ่มขึ้น 5 mg ทุก 2 อาทิตย์จนถึง 20 mg

จำได้ว่าเดือนกันยาตอนเริ่มกินยา ชีวิตโคตรไม่โปรดักทีฟเลย ล่มสุดๆ แล้วก็เสือกประจวบเหมาะกับช่วงงานเยอะท่วมหัว ช่วงนั้นอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก เพราะงานมันจุกอยู่ แต่สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้ และคงไม่กลับไปคิดถึงมันอีก

อาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆและก็เริ่มอยู่ตัวมาประมาณ 2 อาทิตย์ สัญญาณที่ดีคือคุณหมอเริ่มนัดเราห่างขึ้น จากเจอทุก 2 อาทิตย์ เป็น 3 อาทิตย์ 4 อาทิตย์ และล่าสุดคุณหมอนัดเจอเราทุก 6 สัปดาห์ แต่ก็ห้ามดื้อจะเลิกกินยา ต้องกินไปก่อนและคอยทำการบ้านมาส่งคุณหมอทุกการนัด (การบ้านว่าอาการเป็นอะไร มีอะไรผิดปกติไหม ดีขึ้นแย่ลงยังไง) และเราก็รับผิดชอบมาตลอด จนถึงตอนนี้ก็ถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จ

ชีวิตที่ล่มหนักรอบ 2 (ช่วงเลิกยา) แล้วกลับมาดีขึ้น ผมคิดว่าไม่ได้มาจากแค่ยา แต่ปัจจัยอย่างหนึ่งที่เพิ่มเข้ามานอกเหนือจากยาคือการได้บำบัดกับเพื่อนคนนึงที่เค้าก็อาการเครือๆกับเรา ผมกับเพื่อนคนนี้มักจะนัดไป Dinner Therapy กันอยู่ เข้าใจง่ายๆก็คือนัดไปกินข้าวแล้วก็นั่งเม้าท์แตกกัน แม้จะไม่ได้เจอกันบ่อย แต่เราก็คุยกันผ่านตัวหนังสือ พิมพ์ทิ้งไว้ให้อ่าน เหมือนแค่มีคนที่จะเก็ทว่าเป็นไง วันนี้ทำไร รู้สึกยังไง คอยแชร์อะไรๆให้กัน เรามักจะคุยอะไรที่คนอื่นไม่เข้าใจเราแน่นอน เรามีประสบการณ์ร่วมหลายอย่างที่เหมือนกัน มันก็เลยทำให้เราเข้าใจกัน ก็เป็นกำลังใจให้กัน

ประเด็นหนึ่งที่เรามักจะดราม่าบนโต๊ะดินเนอร์เสมอนั่นก็คือ ประเด็นเรื่อง “ความสัมพันธ์” ซึ่งแม่งซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากๆสำหรับคนป่วยๆอย่างเรา ส่วนว่าความสัมพันธ์รูปแบบต่างๆเป็นไง ผมก็ยังต้องขอตกผลึกอะไรให้ได้มากกว่านีี้ก่อน

สรุปแบบสั้นๆก็คือตอนนี้พอกลับมากิน Lexapro 20mg ชีวิตก็กลับมานิ่งๆอยู่จุดเดิม ไม่ขึ้นไม่ใช่เรื่องโรคซึมเศร้าแล้ว เอาอะไรที่เป็น Content มากกว่านี้ 🙂

10 Issue ก็เยอะเกินไปแล้วสำหรับโรคเฮงซวยนี่ !