Chapter 33 : ฉันชอบ…

        ประเด็นแรกที่อยากจะนำเข้าสู่เรื่องก็คือเราจะชอบใครสักคนได้ยังไง ทุกคนคงเคยรู้สึกว่าชอบคนคนนึงทั้งที่เราไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำไป เห็นรูปคนนั้นแล้วชอบทั้งๆที่เราไม่ได้ไปรู้จักมักจี่กับเขาเลย บางคนบอกว่าแค่ชอบและก็แค่อยากรู้จักเป็นเพื่อนเท่านั้น บางคนเห็นแล้วอยากเป็นเพื่อน(ที่พร้อมจะพัฒนาไปเป็นแฟน) บางคนก็ขอแค่ชอบแล้วไม่รู้จักเลยดีกว่า ข้าพเจ้าจึงเริ่มสงสัยว่า เราจะชอบใครสักคนมันมาจากรูปร่างหน้าตาจริงหรือ ข้าพเจ้ามักเถียงว่าเราจะชอบใครสักคนนั่นหมายถึงเราต้องรู้จักกับเขา รู้นิสัยเขาก่อน เราถึงจะชอบเขาได้ และข้าพเจ้ามักถูกเถียงเสมอๆว่าถ้าหน้าตาไม่ดีแล้วจะมีใครมาชอบ แล้วจะมีใครมาคุยด้วย แล้วจะมีใครมารู้จักนิสัยเราได้ ข้าพเจ้ามักจะนิ่งๆเงียบๆทำหน้าตาจิ้มลิ้มแล้วก็พูดไม่ออกอยู่เหมือนกัน เพราะข้าพเจ้าก็ปฏิเสธกับทฤษฏีนี้ไม่ได้จริงๆ ข้าพเจ้าจึงจำต้องยอมรับแต่โดยดีว่าหน้าตาคือประตูด่านแรกเพื่อที่จะให้เราได้เข้าไปทำความรู้จักนิสัยเขา

          ข้าพเจ้าเคยฟังเรื่องราวจากคนรอบตัวมาบ้างไม่มากนัก มีเพื่อนคนนึงเคยคร่ำครวญโศกเศร้าเสียใจเพราะไปรักเขาแล้วเขาไม่รักตอบ (เขาคนนั้นหน้าตาดีมากส่วนเพื่อนข้าพเจ้านั้นถือว่าธรรมดา) คุยไปคุยมาจนได้ความว่า พวกเขาเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวและหลังจากนั้นก็ได้แค่คุยกันทางโทรศัพท์และใน msn ข้าพเจ้าถามเพื่อนไปว่า "มึงจะบ้าหรือเปล่า มึงไปรักเขาแล้วเนี่ยนะ มัน non-sense มากๆเลยสำหรับกู" เพื่อนตอบกลับมาว่า "เฮ้ย แต่คนนี้กูรู้สึกว่ากูรักเขาจริงๆนะ มึงรู้จักหรือเปล่า Love at first sight หน่ะ" อืม ข้าพเจ้าตอบตามตรงว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักหรอก ๕๕๕ ไม่เคยรักใครเมื่อแรกพบอ่ะ เพื่อนข้าพเจ้าอีกรายหนึ่งเป็นคนหน้าตาดี มีคนมาชอบมากมาย หนึ่งในคนที่มาชอบและกล้ามาจีบเพื่อนข้าพเจ้าแบบจริงจัง หน้าตาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่นิสัยดีมาก แต่เพื่อนข้าพเจ้ากลับพูดว่า "ถึงเค้าจะนิสัยดีมาก แต่หน้าตาแบบนี้กูรับไม่ได้ว่ะ" "หมายถึงนิสัยเขาดีไม่ใช่ในแบบที่มึงอยากให้เป็นหรือยังไง" "ไม่ๆ นิสัยแบบนี้แหละคือแฟนในอนาคตกู แต่หน้าตาแบบนี้กูไม่ไหวจริงๆ" ข้าพเจ้านิ่งไปสักพักแล้วก็ไว้อาลัยให้กับความคิดแบบนั้น และอยากให้กำลังใจกับเหล่าคนหน้าตาไม่ดีเหมือนๆกับข้าพเจ้าว่า ต้องมีสักคนที่จะรักเราที่เราเป็นเรา ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตาของเราแหละหน่า

        ข้าพเจ้าแอบเศร้าใจเล็กน้อยเกี่ยวกับสังคมปัจจุบัน สังคมปัจจุบันที่หล่อหลอมกล่อมเกลาให้เรื่องหน้าตามันมาก่อนสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆของเราที่มักจะวิจารณ์หน้าตาของคนนู้นคนนี้เสมอ สื่อที่ยกย่องดาราที่หน้าตาไม่ใช่ความสามารถ ศิลปินหลายคนร้องเพลงไม่เพราะสักนิดแต่หน้าตาดีกลายเป็นคนดัง อีกหลายๆคนที่เสียงเพราะมากกลับไม่ดังเพราะหน้าตาไม่ดี นักแสดงบางคนสามารถแสดงได้ดีแต่หน้าตาไม่ดี ก็ไม่สามารถจะได้รับการยอมรับมากกว่าพระเอกนางเอกที่หน้าตาดีแต่แสดงได้ไม่น่าดูชมเลย ในสังคมเราต้องยอมรับว่าคนหน้าตาดีมักได้สิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่นๆ ที่แย่กว่านั้นบางคนมักจะพูดกับคนหน้าตาดีอย่างสุภาพและพูดจาไม่น่าฟังกับคนที่หน้าตาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าเลือกปฏิบัติตามหน้าตาเลยก็ว่าได้

        มาถึงตรงนี้ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีกับตัวเองเป็นอย่างยิ่งว่าข้าพเจ้าได้หลุดพ้นกรอบของสังคมตรงจุดนั้นมาได้ แต่ข้าพเจ้าต้องขอสารภาพผิดนิดหน่อยว่าข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอื่นๆที่มักจะ"ชอบ"คนนู่นคนนี้ไปทั่วเพียงเพราะเขาหน้าตาถูกใจข้าพเจ้า แต่คำว่า"ชอบ"ของข้าพเจ้าในที่นี้ ไม่ได้เป็นความชอบที่ว่าอยากรู้จัก อยากเป็นแฟน หรืออยากจะอะไรทั้งสิ้น เป็นแค่เพียงอาหารตาของข้าพเจ้าเท่านั้น ข้าพเจ้าบัญญัติความรู้สึกแบบนี้ของข้าพเจ้าว่านั่นคือ "ชอบเฉยๆ"

        แต่ถ้าข้าพเจ้าจะ"ชอบ"ใครสักคนอย่างจริงจริงจังจังนั้น ข้าพเจ้ากล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าไม่ได้มาจากรูปร่างหน้าตา สเปคส่วนตัวของข้าพเจ้า หรือเพราะเงินทองอะไรทั้งสิ้น แต่มันมาจากความเป็นเขาจริงๆ สิ่งที่เขาคิด เขาพูด เขากระทำ โดยไม่ต้องพยายามให้มันดูดีหรือประดิษฐ์ประดอยอะไรมากนัก นั่นละคือสิ่งที่จะทำให้ข้าพเจ้าชอบ และขอเรียกการชอบแบบนี้ว่า "ชอบจริงๆ" ประเด็นหลักของวันนี้คือเปิดเผยความลับที่ว่าทำไมข้าพเจ้าถึงชอบคนแก่

        สงสัยข้าพเจ้าจะหลง"เสน่ห์"คนแก่เข้าซะแล้ว แต่เสน่ห์ในนิยามของข้าพเจ้าที่จะทำให้ข้าพเจ้า"ชอบจริงๆ"มันไม่ใช่เพราะเขาหน้าตาดีถูกใจ เสียงเพราะน่าฟังหรือหุ่นอ้วนๆน่ารักน่ากอด เสน่ห์ที่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงนั่นก็คือทัศนคติ ความคิดและการตัดสินใจของความเป็น"ผู้ใหญ่" เนื่องด้วยข้าพเจ้ายังคงเป็นเด็กน้อยและหลงเสน่ห์ของคนแก่ จึงส่งผลให้ข้าพเจ้าไม่เคยแม้แต่จะชอบเล่นๆกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันนัก ข้าพเจ้าขออนุญาตแบ่งคำว่า "ผู้ใหญ่" กับ "เด็ก" ในมุมมองของข้าพเจ้า (ย้ำว่าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าติต่างขึ้นมาเอง และมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป) ดังนี้

๑) หลายครั้งที่ข้าพเจ้าพบว่า ผู้ใหญ่จะใจกว้าง ส่วนเด็กจะใจแคบ ไม่ได้หมายถึงว่ามีน้ำใจหรือขี้งก แต่ใจกว้างและใจแคบในที่นี้หมายถึง การยอมรับความคิดของคนอื่น หลายครั้งที่ข้าพเห็นว่าผู้ใหญ่รับฟังความคิดของคนอื่นและนำมาคิด แต่เด็กมักจะยืนยันในความคิดของตนสิ่งที่คนอื่นพูดแล้วไม่ถูกใจตัวเองก็แค่เข้าหูซ้ายแล้วทะลุหูขวา (หมายถึงการเอาแต่ตัวเองเป็นศูนย์กลางไม่สนคนอื่น หรือ ใจกว้างพอที่จะรับฟังว่าอีกคนกำลังคิดอะไร รู้สึกอย่างไร)

๒) ทักษะที่จะแยกแยะอารมณ์กับเหตุผล และสามารถนำมาอารมณ์และเหตุผลมาใช้ได้เหมาะสม ข้าพเจ้าไม่ได้มองว่า ทักษะเหล่านี้จะแบ่งด้วยเพศอย่างที่เขาว่ากัน (ผู้ชายใช้เหตุผล ผู้หญิงใช้อารมณ์) ไม่ได้แบ่งระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง แต่แบ่งระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ เด็กส่วนใหญ่มักจะสร้างความซับซ้อนในอารมณ์ของตัวเองและให้น้ำหนักน้อยกับเหตุผล ส่วนผู้ใหญ่มักจะสร้างความซับซ้อนในเหตุผลและให้น้ำหนักที่น้อยลงกับอารมณ์ ยกตัวอย่างเช่น

Case Study 1 "แฟนไม่มีเวลา สัปดาห์นี้ไม่ได้เจอกัน" ผู้ใหญ่จะเข้าใจและไม่งอแง เพราะเข้าใจว่า"ไม่ว่าง"คืออะไร ส่วนเด็กจะไม่พอใจ(และไม่เข้าใจ)ว่าทำไมไม่ว่าง รู้อย่างเดียวว่าเป็นแฟนกันต้องมีเวลาให้กัน ไม่งั้นจะมีแฟนไปทำไม เธอต้องหาเวลาว่างให้ฉัน แค่นั้นแหละจบ

Case Study 2 "แฟนคุยกับคนอื่น" ผู้ใหญ่จะมองอย่างเข้าใจว่าการเป็นแฟนกันไม่ได้หมายถึงการครอบครองกัน เป็นเจ้าชีวิตกัน ผู้ใหญ่จะให้เกียรติการตัดสินใจของแฟน ถ้าจะห้ามจะงอนนิดหน่อยพอเป็นพิธี แต่เด็กจะกลายเป็นว่าวางอำนาจเป็นเจ้าเข้าเจ้าของไม่พอใจ ห้ามไม่ให้คุยกับคนอื่น ถ้าคุยก็จะไม่พอใจจริงๆ คอยเช็คมือถือ บางทีถึงขั้นโทรไปหาคนนั้นให้เลิกยุ่งกับแฟนของเขาซะงั้น

๓) ผู้ใหญ่จะรู้จักรับผิดชอบความรู้สึกคนอื่น แต่เด็กก็จะรู้จักแต่การรับผิดชอบความรู้สึกตัวเอง พูดง่ายๆก็คือ ผู้ใหญ่จะเข้าใจความรู้สึกคนอื่น แต่เด็กจะให้คนอื่นมาเข้าใจความรู้สึกตัวเอง อย่างเช่นว่า เวลามีปัญหากัน ผู้ใหญ่จะพูดกันถึงปัญหาและยอมรับในความผิดพลาดอธิบายเหตุผลที่ทำนู่นทำนี่ไป(แม้ว่าจะเป็นแค่ข้ออ้างในการทำผิดก็ตาม ๕๕๕) แต่เด็กก็จะไม่พูด เก็บไว้ เธอต้องเข้าใจฉันสิว่าฉันกำลังไม่พอใจ ฉันไม่พอใจนะแต่ฉันไม่พูด เธอต้องรู้ว่าเธอทำอะไรให้ฉันไม่พอใจโดยที่ฉันไม่ต้องพูดบอก เธอต้องเข้าใจฉันเองสิ

๔) แฟนคือ… ผู้ใหญ่ตอบว่า"เป็นเพื่อนชีวิตที่เราสามารถแบ่งปันทุกข์และสุขได้(รวมทั้งเซกส์) คนที่เราสามารถคุยได้ทุกเรื่องอย่างสบายใจ กล้าพูดกับเราตรงๆในทุกเรื่อง เป็นที่พักพิงยามเราทุกข์ใจ และเป็นคนที่ชื่นชมกับความสุขของเรา" หรืออะไรก็ตาม แต่เด็กตอบว่า"คนที่ต้องเจอกันบ่อย กินข้าวกัน ดูหนังกัน เดินด้วยกัน เดินจับมือกัน ต้องรักเรา(และมีเซกส์กับเรา) เป็นแฟนของเราคนเดียว หาเรื่องทะเลาะถ้าเขาไปคุยกับคนอื่น ไม่พอใจถ้าเขาไม่มีเวลาไม่สนว่าเหตุผลจะเป็นไรก็ตาม"

๕) เมื่อทะเลาะกัน การขุดคุ้ยเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งในอดีตที่คุยกันจบไปแล้ว นำมาขึ้นมาพูดเพื่อซ้ำเติมความผิดของอีกฝ่าย มักจะถูกนำมาใช้ ผู้ใหญ่จะเข้าใจว่าอดีตก็คืออดีต ไม่ไปวนเวียนพูดถึงแต่สิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ถ้าทะเลาะกันเรื่องไหนก็เคลียร์กันในเรื่องนั้น ขณะที่เด็กเวลามีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง สิ่งที่จะทำก็คือขุดคุ้ยความผิดในอดีตของอีกฝ่ายมาพูดเพื่อทำให้อีกคนรู้สึกผิดหรือเรียกง่ายๆว่าทำทุกอย่างเพื่อชนะการทะเลาะในครั้งนั้น

          อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ทุกคนจะ"คิด"ได้แบบผู้ใหญ่ หรือเด็กจะคิดได้แต่ความคิดแบบเด็กๆ ข้าพเจ้าเคยเจอทั้งผู้ใหญ่ที่มีความคิดแบบ"เด็ก" และเด็กที่มีความคิดแบบ"ผู้ใหญ่" และพบว่าการที่คิดได้แบบผู้ใหญ่ข้างต้นมันเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหลสุดๆสำหรับข้าพเจ้าเลยล่ะ

          ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายๆคนคงรู้สึกว่า "จะผู้ใหญ่หรือเด็กเป็นแฟนกัน มันก็เป็นงี้ทั้งนั้นแหละ" ข้าพเจ้าไม่เถียง เพราะข้าพเจ้ากำลังพูดถึง "ทัศนคติ" "ความคิด" "การกระทำ" ของการบัญญัติคำเองระหว่าง "ผู้ใหญ่" กับ "เด็ก" จากมุมมองของข้าพเจ้าเท่านั้น ข้าพเจ้าแค่เสนอมุมมองหนึ่งของข้าพเจ้า ไม่ได้มีเจตนาจะไปเปลี่ยนแปลงความคิดของใคร ไม่ได้คาดหวังให้คนเห็นด้วยกับข้าพเจ้าหรืออย่างไร และอยากให้ทุกคนแสดงความเห็นในความคิดของตนเช่นกัน เพราะข้าพเจ้าชอบที่จะฟังความคิดความอ่านของคนอื่นๆ ^^

บทนี้ข้าพเจ้าพูดถึง "ชอบเฉยๆ" กับ "ชอบจริงๆ" ส่วนบทหน้านั้นจะพูดถึงว่า "รัก" ในมุมมองของข้าพเจ้าเป็นยังไง

เด็กโน้ต
วันจันทร์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เวลา ๒๑.๒๑ น.